วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ไล่ตงจวิ้น ลูกขอทาน

หัวใจสลาย
วันที่เรียนแค่ครึ่งวัน ได้กลับบ้านมาตอนเที่ยงวันนี้อากาศดีจริง ดวงอาทิตย์สาดแสงจัดจ้า ผมรีบลากเอาที่นอนและผ้าปูขาดๆของเราออกมาตากแดดบนพื้นหวังว่าความร้อนของแสงอาทิตย์จะช่วยทำให้เจ้าตัวเห็บตัวหมัดตกใจรีบกระเด็นหนีออกไปไกลๆได้บ้าง จากนั้นก็รีบเปลี่ยนชุดเครื่องแบบนักเรียนออกแล้วไปขอทาน
ยังมีเวลาเหลืออยู่อีกตลอดบ่าย ในที่สุดผมก็มีโอกาสได้ค่อยๆเดินสูดอากาศหายใจเสียที เดินมาจนถึงสนามเด็กเล่นของหมู่บ้าน ผมเห็นพวกเด็กๆพากันล้อมวงเล่นลูกข่างกันอย่างเพลิดเพลิน พวกเขาใช้เชือกพันลูกข่างไว้ก่อนแล้วก็ขว้างมันออกไป พอลูกข่างหมุนตกถึงพื้นมันก็จะหมุนต่อไปไม่หยุด พวกเด็กๆทั้งกระโดดและกรีดร้องกันอย่างสนุกสนานเต็มที่ มิน่าเล่าผมจึงได้ยินเสียงหัวเราะกรี๊ดกร๊าดของพวกเขามาแต่ไกล อยากจะแตะลูกข่างนั้นดูบ้างจังเลย ผมอุ้มขันขอทานคู่ชีพไว้แนบอก ชะงักฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว เฝ้าจ้องดูเจ้าลูกข่างที่หมุนวนไปมาตาแทบไม่กระพริบ
ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยมีของเล่นเลยสักชิ้นเดียวตอนเด็กๆพี่สาวเคยเก็บตุ๊กตาผ้าเก่าๆที่เจ้าของทิ้งแล้วได้ตัวหนึ่งหน้าของมันทั้งดำทั้งสกปรกลูกตาที่ทำจากกระดุมก็หลุดหายไปข้างหนึ่งเสื้อผ้าก็ถูกเจ้าของเก่าวิ่นแต่พี่สาวก็ยังรักและหวงแหนยิ่งนัก แม้พี่สาวจะพยายามชวนผมเล่นตุ๊กตาด้วยหลายครั้ง แต่ผมก็ปฎิเสธเสียทุกครั้ง เพราะตอนนั้นผมรู้สึกว่าเด็กผู้ชายเล่นตุ๊กตาแล้วดูกระตุ้งกระติ้งอย่างไรชอบกล
มีฉากหนึ่งในชีวิตที่ผมคงไม่มีวันลืมได้ลงเลย
ท่ามกลางลำแสงสุดท้ายของยามเย็น ผมเล่นโยนก้อนหินแข่งกับตัวเองอยู่นอกบ้านโดยพยายามโยนออกไปให้ไกลกว่าครั้งที่แล้วส่วนพี่สาวนั่งอยู่กับพื้นคุยกับตุ๊กตาของเธอยอดหญ้าแผ่วพลิ้วถูกแสงอาทิตย์ทาบทอจนเปล่งประกายเป็นสีทองไปทั่ว ใบหน้าด้านข้างของพี่สาวกับใบหน้ามอมแมมของเจ้าตุ๊กตาน้อยสะท้อนใส่กันท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็น ความเงียบสงัดปกคลุมไปทั่วทั้งผืนแผ่นดิน พอรู้สึกตัวว่าผมกำลังมองอยู่เธอก็เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มหวานให้ผม โลกคงจะหยุดหมุนแล้วแน่ๆ แสงอาทิตย์ในยามอัสดงอย่างนี้ยอดหญ้าแผ่วพลิ้วอย่างนี้ งามงดเช่นนี้เอง
แต่ตอนนี้นึกขึ้นมาแล้วทำให้คิดว่าเจ้าตุ๊กตาที่แสนจะยับเยินตัวนั้นเป็นเสมือนคำทำนายชะตาของพี่สาว ผมดูพวกเด็กๆเล่นลูกข่างแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ เด็กบางคนโยนลูกได้ไม่ดี พอขว้างออกไปแล้วแทนที่ลูกข่างจะหมุนก็กลับกลิ้งออกไปเสียไกลผมเห็นจึงรีบวิ่งไปช่วยเก็บลูกข่างมาคืนให้ แต่พวกเขกลับทำหน้าล้อเลียนใส่ผม “ไอ้ตูดหมึกเอ๊ย! ใครใช้ให้แกไปเก็บมาให้” แหม! จริงเลย ๆ ทำดีก็ไม่ดี! ถึงจะไม่ได้เล่นเอง แค่ได้ดูคนอื่นเล่น เท่านี้ก็ถือว่าดีถมไปแล้วสำหรับผม
ลูกข่างที่หมุนไปมาก็เหมือนกับวงล้อแห่งชะตาชีวิต บ่างครั้งก็หมุนได้ราบรื่นดี แต่บางครั้งก็หมุนเอียงไปเอียงมาทีสองทีแล้วแล้วก็กลับหยุดเสียเฉยๆอย่างนั้น ชะตาคนเราก็เหมือนกัน ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เชือกเส้นนั้นอยู่ใต้การควบคุมของมือเรา ชะตาฟ้าลิขิตไว้ แต่สองมือเราสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ พอคิดว่าแค่ดูคนเล่นลูกข่างยังนึกเปรียบกับสัจธรรมชีวิตได้ผมก็อดแอบอมยิ้มอย่างภูมิใจอยู่คนเดียวไม่ได้
แล้วผมก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัว พูดกับเด็กคนที่หัวโตกว่าใครว่า “ พี่ชาย ผมขอยืมเล่นลูกข่างบ้างจะได้ไหม” “ไปให้พ้นเลย!” เขาพูดพร้อมกับโบกมือไล่ “ อยากเล่นแล้วทำไมไม่รู้จักไปซื้อมาเล่นเองล่ะ ไอ้กระจอกเอ๊ย ! ไอ้ลูกขอทาน! ฉันไม่มีวันให้แกยืมหรอก ไปบอกให้พ่อแกให้ซื้อเองสิวะ!”
ผมฟังแล้วก็ได้แต่ก้มหน้าลง ช่างเถอะ การเปลี่ยนแปลงตนเองย่อมง่ายกว่าการเปลี่ยนแปลงผู้อื่น เวลาที่ถูกคนอื่นดูถูกก็จงมุมานะให้มากกว่าเดิม ผมก้มหน้าลงท่องเบาๆ ผมเคยได้ยินคำเหล่านี้จากพวกผู้เฒ่าที่พูดเพื่อปลุกใจกันในงานประชุมตั้งแต่สมัยที่เรายังเร่ร่อนกันอยู่แถวบ้านนอก ตอนนี้เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่า ผมมัวแต่ห่วงเล่นเพลินจนเกือบจะลืมไปว่าคนทั้งบ้านกำลังรอกินข้าวเย็นจากผมอยู่
เลิกห่วงเล่นเสียที รีบไปขอทานดีกว่า ขอให้วันนี้โชคดีด้วยเถอะ ถูกด่าน้อยลงนิด มีข้าวกินมากขึ้นหน่อย พอเดินมาถึงประตูบ้านหลังหนึ่ง กำลังจะยกมือขึ้นเคาะประตูอยู่พอดีบังเอิญไปได้ยินเสียงผู้ใหญ่กระซิบกระซาบกันอย่างมีลับลมคมใน พร้อมกับเสียงหัวเราะเฮฮาอย่างเบิกบานใจดังก้องขึ้นตรงหัวมุมถนนเสียก่อน ในบทสนทนาที่ฟังดูคลุมเครือนั้นเหมือนจะมีชื่อพ่ออยู่ด้วย ผมจึงเงี่ยหูฟังด้วยความตั้งใจ
“ใช่ๆลูกสาวของไอ้งูซื่อนั่นแหละ”
“ได้ยินว่าสวยสะเด็ดไปเลยหรอ”
“เรื่องนั้นน่ะไม่ต้องพูดถึงเลย อาทิตย์ที่แล้วข้าก็เพิ่งไปเที่ยวมาทั้งซิงทั้งเอ๊าะนี่บำรุงสายตาไม่ใช่เรอะ ฮ่าๆๆ”